Assignment7

1.How will social networking impact businesses? เครือข่ายสังคมจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้อย่างไร

Social_Media_Marketing

The use of social media is growing at an astronomical rate. With Facebook floating on the stock exchange at a mind boggling $104 billion, many naysayers predict a bubble. However, there is no denying the power of social media and the impact that it can have on the business of marketing.

Tactics
Social media websites such as Facebook, Twitter, Linkedin and Pinterest represent a huge opportunity for businesses to grab the attention of customers while simultaneously building a brand image. There are plenty of tactics that businesses can employ to do this including the creation of brand profiles on social networks such as Facebook fan pages and creative advertising via branded podcasts and applications, also known as apps.

Word of Mouth
Social media platforms provide the perfect opportunity to take advantage of word of mouth and to see it spread. Social media is growing at its fastest rate in developing countries. People are connected on a global scale and casually participate in each others lives through online observation. Something as simple as “Liking” a brand on Facebook can spread virally very quickly throughout the various social media channels. It is worth noting that individuals trust the opinions of their peers far more than a glossy magazine advert. Millions of people review products and services directly via social media sites using video through Youtube, which in many cases is then shared and disseminated via various other social media websites. As a consequence, the public increasingly look to social media to find reviews on various products and services to help them to make buying decisions. As a result, companies can and do provide products to popular Youtube users to review for their subscribers as well as create their own branded Youtube channels with branded videos about their products.

Communicating with Customers
Companies may see the spread of negative reviews about their products or services as a bad thing, when they can use it to their advantage. By utilising social media effectively, companies can reach out to dissatisfied customers directly, within their own social media environment, to find innovative ways of improving the product or service they have on offer.

Influence
When creating a social media marketing strategy, it is worth thinking very carefully about who is being targeted. There will be people within your social networks who may not necessarily be customers, but who nevertheless can have a massive impact on your marketing efforts. Forrester Analyst Augie Ray broke the various types of social media influencers into three distinct categories:

Social Broadcasters (at the top)
Mass Influencers (middle)
Potential Influencers (bottom of the pyramid)

More than 80 per cent of that population is made up of “potential influencers”. It is worth making the effort to identify who these people are in your network and connect with them to attract shares and likes which ultimately help to spread your brand name. One website which is excellent for identifying these people is Klout. Klout gives social networkers a score out of 100 which indicates how influential an individual is over their network while also identifying who the broadcasters and influencers are within that network.

Considerations
Social media has had and is continuing to have a huge influence on business, marketing and on how businesses engage with their target market. The use of social media to share and engage with others continues to grow at an astounding rate, so it would be wise for any business to develop and implement a sustainable social media strategy in order to successfully take advantage of this rapidly changing environment.

2.What are the impacts of the Web 2.0 boom? อะไรเป็นผลกระทบจากการบูม Web 2.0?

•Web 2.0

The popular term for advanced Internet technology and applications, including blogs, wikis, RSS, and social bookmarking. One of the most significant differences between Web 2.0 and the traditional World Wide Web is greater collaboration among Internet users and other users, content providers, and enterprises
ตอนนี้เป็นช่วงที่นิยมสำหรับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและแอพพลิเคชั่น รวมไปถึง บล็อก วิกิ RSS และ Social Bookmarking หนึ่งอย่างของความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง Web 2.0 และเวิลด์ไวด์เว็บแบบดั้งเดิม คือ ความร่วมมือที่มีมากขึ้นในหมู่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและผู้ใช้อื่นๆ ผู้ให้บริการ และองค์กร

•REPRESENTATIVE CHARACTERISTICS OF WEB 2.0 ลักษณะตัวแทนของ WEB 2.0
–The ability to tap into the collective intelligence of users ความสามารถในการเข้าสู่ระดับปัญญาของผู้ใช้ มีผู้ใช้งานที่นิยมมากขึ้นและเว็บไซต์ 2.0 กลายเป็นสิ่งมีคุณค่า
–Data is made available in new or never-intended ways ข้อมูลจะถูกทำให้ใช้ได้ในรูปแบบใหม่หรือไม่เคยใช้
–Relies on user-generated and user-controlled content and data ขึ้นอยู่กับผู้ใช้สร้างขึ้นและใช้ควบคุมเนื้อหาและข้อมูล
–Lightweight programming techniques and tools let nearly anyone act as a Web site developer เทคนิคการเขียนโปรแกรมแบบเบาๆและมีเครื่องมือที่ช่วยให้ทุกคนเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ได้
–The virtual elimination of software-upgrade cycles makes everything a perpetual beta or work-in-progress and allows rapid prototyping การกำจัดของการอัพเกรดซอฟแวร์ทำให้ทุกอย่างเบต้าถาวรหรือการทำงานความคืบหน้าในและช่วยให้การสร้างต้นแบบอย่างรวดเร็ว
–Users can access applications entirely through a browser ผู้ใช้สามารถเข้าถึงแอพพลิเคชั่นผ่านเบราว์เซอร์
–An architecture of participation and digital democracy encourages users to add value to the application as they use it สถาปัตยกรรมของการมีส่วนร่วมและความเป็นประชาธิปไตยด้านสื่อดิจิตอลสนับสนุนให้ผู้ใช้เพิ่มมูลค่าให้กับโปรแกรมที่พวกเขาใช้มัน
–A major emphasis on social networks and computing เน้นสำคัญหลักบนเครือข่ายสังคมและคอมพิวเตอร์
–Strong support of information sharing and collaboration สนับสนุนเป็นอย่างดีในการแบ่งปันข้อมูลและความร่วมมือ
–Rapid and continuous creation of new business models การสร้างอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของธุรกิจรูปแบบใหม่

3.Should we explore Web 2.0 collaboration? เราควรสำรวจความร่วมมือ Web 2.0?

ควร  เพื่อนำแนวโน้มที่น่าสนใจของโอกาสที่น่าจะนำ Web 2.0 เข้ามาสร้างสื่อการเรียนรู้ในไว้อนาคตดังนี้

1. สร้างโอกาสให้เกิดการปฏิวัติสื่อสิ่งพิมพ์รูปแบบใหม่
จากอดีตที่ผ่านมาระบบการสื่อสารในอินเตอร์เน็ตทางเว็บไซด์ เป็นการสื่อสารทางเดียว ที่ป็นเพียงผู้อ่านและรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ตามหน้าเว็บเท่านั้น แต่ในยุคของ Web 2.0 นี้ การสื่อสารทางเว็บได้เปลี่ยนไปเป็นการสื่อสารสองทาง การสร้างเนื้อหาบนเว็บนั้นเกิดจากการได้รับการสนันสนุนและช่วยเหลือกันของผู้ใช้เพื่อทำให้ข้อมูลที่มีอยู่บนเว็บนั้นมีความชัดเจนและถูกต้องมากที่สุด เว็บไซด์ต่างๆ เปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถที่จะสร้างเนื้อหาบนหน้าเว็บได้อย่างง่ายดาย

2. เปิดโอกาสให้มีข้อมูลข่าวสารหรือเนื้อหาต่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลและรวดเร็ว
การปฎิวัติรูปแบบของการสร้างเนื้อหาบนหน้าเว็บโดยให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและเข้าถึงมากขึ้นนี้ ส่งผลให้ปริมาณเนื้อหาหรือข้อมูลบนหน้าเว็บเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้ใช้ได้เข้าไปสร้างเนื้อหาบนหน้าเว็บทุกวัน จะเห็นได้จากจำนวนของเว็บบล็อกที่เพิ่มมากขึ้นกว่า 100,000 บล็อกในแต่ละวัน ซึ่งหมายถึงผู้ใช้หรือผู้ค้นหาข้อมูลจากเว็บไซด์มีแหล่งข้อมูลเพิ่มมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันความหลากหลากหลายทำให้ผู้ค้นหาต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการพิจารณาและกลั่นกรองข้อมูลที่จะนำไปใช้ให้รอบคอบ

3. เกิดการมีส่วมร่วมโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางการค้า
Steve Hargadon ได้ ยกตัวอย่างของการซื้อ-ขายสินค้าจากเว็บhttp://www.amazon.com ซึ่งเป็นเว็บที่ขายหนังสือผ่านทางระบบออนไลน์ โดยในเว็บจะนำเสนอหนังสือแต่ละเล่มและเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปที่อ่านหนังสือเล่มนั้นๆ สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงข้อคิดเห็นและบทวิจารณ์หนังสือ อีกทั้งยังสามารถจัดลำดับความน่าสนใจของเนื้อหาหนังสือหรือความน่าสนใจเพื่อซื้อไว้เป็นเจ้าของได้ด้วย และผู้สนใจอื่นๆที่เข้ามาเลือกดูเว็บหนังสือเล่มนี้ก็จะสามารถอ่านข้อคิดเห็นและบทวิจารณ์ของหนังสือเล่มนั้นได้

4. การผลิตสินค้ามาตอบสนองตรงต่อความคิดเห็นและความต้องการของผู้บริโภค
ในปัจจุบัน บริษัทจำนวนมากที่ผลิตสินค้าตามความคิดเห็นของลูกค้าโดย มีการจัดทำการสำรวจความความคิดเห็นของลูกค้าด้านคุณสมบัติและคุณภาพสินค้าเพื่อนำไปปรับปรุงการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น

5. ยุคแห่งความร่วมมือหรือปฏิสัมพันธ์ทางสังคมบนเว็บไซต์
อาจกล่าวได้ว่า เราไม่สามารถที่จะอยู่บนโลกนี้ได้โดยลำพังในยุคปัจจุบัน จึงต้องมีการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นลักษณะที่ต้องช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกัน เนื่องจากกระแสการเปลี่ยนแปลงทั้ง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม อีกทั้งการติดต่อสื่อสารที่ไร้พรมแดนทำให้การร่วมมือกันของคนทุกมุมโลกเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้ปรับตัวเข้ากับทุกสรรพสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

6. การเกิดนวัตกรรมใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น
การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วก่อให้เกิดการประสานกันระหว่างความรู้เฉพาะที่นำเสนอมาจากแหล่งข้อมูลหลากหลายทั่วโลกกับการให้ความร่วมมือประสานงานกันของแต่ละแหล่งข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การผลิตคิดค้นนวัตกรรมขึ้นเป็นจำนวนมาก

7. เกิดความเท่าเทียมกันทางการศึกษา
ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่เท่าเทียมกัน โอกาสทางการศึกษาที่เปิดให้ทุกคนเรียนรู้ด้วยเนื้อหาเดียวกันทั่วโลกแม้จะอยู่ต่างที่ต่างเวลา ซึ่งทำให้ช่องว่างหรือความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาลดลง

8. การเรียนรู้จากสิ่งที่มีอยู่จริงในสังคม
การเรียนรู้ในปัจจุบันควรเปลี่ยนไปในแง่ของการเรียนรู้ด้วยการแสดงความคิดเห็น การแลกเปลี่ยนมุมมองและมองว่าทุกความคิดเห็นมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ทั้งสิ้น กระบวนการเรียนรู้ควรจะเปลี่ยนจาก “การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไร” เป็น “การเรียนรู้เพื่อให้เป็นอย่างไร” ซึ่งเท่ากับว่ากระบวนการคิดที่ผ่านจากสมองของทุกคนจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดซึ่งกันและกันอย่างรวดเร็วและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้รวดเร็วขึ้น

9. โอกาสและความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น
วิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างรวดเร็วทำให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นไปอย่างง่ายดาย เพียงแต่ผู้ใช้เชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตก็สามารถค้นหาข้อมูลที่สนใจทั้งเนื้อหาทั่วไปและเนื้อหาเชิงลึกและเมื่อเกิดการเรียนรู้มากขึ้นจะกลายเป็นความสามารถเฉพาะด้าน ก็สามารถแสดงความเห็นและแบ่งปันความรู้ที่ได้รับคืนกลับสู่ผู้อื่นด้วยระบบนี้ได้เช่นกัน

10. เครือข่ายสังคมทางอินเทอร์เน็ต
จากการที่เว็บไซด์ต่างๆ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างเนื้อหาบนหน้าเว็บเช่น เว็บ Blogs และ Wikis ทำให้เกิดการนำเสนอข้อมูลกันอย่างเสรี โดยได้มาจากประสบการณ์และความรู้เฉพาะบุคคล ซึ่งบางครั้งข้อมูลที่นำเสนอนั้นอาจมีข้อบกพร่อง ผู้ใช้อื่นๆสามารถแก้ไขข้อมูลส่วนที่ผิดพลาดได้ ดังนั้นการติดต่อในลักษณะนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็น การปฏิสัมพันธ์กันผ่านทางระบบเครือข่าย และเป็นการเรียนรู้ทางสังคมผ่านอินเทอร์เน็ต เมื่อเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี Web 2.0 ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมและวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักการศึกษา ที่ต้องให้ความสนใจในการนำเทคโนโลยี Web 2.0 มาใช้เพื่อให้เกิดการพัฒนาการศึกษาและเตรียมพร้อมสำหรับผู้เรียนให้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงการแสวงหาข้อมูลในโลกยุคปัจจุบันและด้วยการพัฒนาที่ต่อเนื่องและรวดเร็ว

4.How shall we start using Web 2.0 tools? วิธีการอย่างไรที่เราเริ่มต้นใช้เครื่องมือ Web 2.0?

 วิธีการอย่างไรที่เราเริ่มต้นใช้เครื่องมือ Web 2.0?

ตอบ
1. ทําการเปิดโปรแกรม Web Browser ที่ต้องการใช้งานในเครื่อง

การเริ่มต้นใช้งาน 1

2. ที่ Address Bar ใส่ที่อยู่ของระบบ http://mail.excise.go.th/

3. เข้าสู่หน้า Login ของระบบเมล์ ทําการป้อน Username (ไม่ต้องใส่ @domainname.com), Password เลือกเวอร์ชั่นเป็นแบบโมเดิร์นเว็บเมล์และคลิกที่ เข้าสู่ระบบ

การเริ่มต้นการใช้งาน2

4. เข้าสู่หน้าแรกระบบ Web 2.0

การเริ่มต้นใช้งาน 3

เครื่องมือต่างๆในเครือข่ายสังคม

1. Web application tools – เครื่องมือสนับสนุนการทำงานบนเว็บ

ในกลุ่มแรกนี้เป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ที่ใช้ทำงานบนหน้าเว็บ เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานด้านต่างๆ บนเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์มีลูกเล่นต่างๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าการนำเสนอข้อมูลเพียงอย่างเดียว โดยหัวเรื่องที่จะแนะนำในกลุ่มนี้มีด้วยกัน 5 เรื่องคือ

– Blog

– Social Bookmarking   แนวคิดในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน

– RSS Feed   ติดต่อตามข้อมูลข่าวสารอัพเดตได้ทันสมัยตลอดเวลา

– Widgets   Gatget ที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์และเว็บไซต์ของคุณเป็นได้สารพัดสิ่ง

– Mashup   แนวคิดใหม่ในการพัฒนาเว็บไซต์อย่างประหยัด

2. Communication tools – เครื่องมือสำหรับติดต่อสื่อสาร

สำหรับกลุ่มนี้จะเน้นเครื่องมือที่ช่วยในการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคน ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยเพิ่มช่องทางและรูปแบบในการติดต่อสื่อสารให้หลากหลายขึ้น ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารและส่งข้อมูล ซึ่งมีเครื่องมือที่น่าสนใจ 5 เรื่องด้วยกัน ดังนี้

– Chat/Shoutbox   ร่วมแสดงความคิดของคุณผ่านทางแป้นพิมพ์

– Instant Messenging   การพูดคุยกันไม่ได้จำกัดอยู่บนโทรศัพท์อีกต่อไปแล้ว

– Skype   มากกว่าการโทรศัพท์ โปรแกรมติดต่อสื่อสารและโทรศัพท์ทางไกลมาแรง

– Podcast   เทคโนโลยีในการนำเสนอและแบ่งปันวิดีโอและเสียงออนไลน์ รวมถึงการจัดรายการวิทยุออนไลน์

– Audiographics   เทคโนโลยีการการติดต่อสื่อสารและนำเสนอเนื้อหาเพื่อสร้างรูปแบบใหม่ของการประชุม

3. Community tools – เครื่องมือส่งเสริมการเป็นชุมชนออนไลน์

เครื่องมือและเว็บไซต์ที่อยู่ในกลุ่มนี้เป็นเครื่องมือและเว็บไซต์ที่ส่งเสริมให้เกิดสังคมออนไลน์บนโลกอินเทอร์เน็ตขึ้น เครื่องมือและเว็บไซต์เหล่านี้ทำให้คนที่มีความสนใจในเร่องเดียวกันมีโอกาส มีสถานที่ เพื่อใช้แลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลร่วมกัน ได้แชร์ประสบการณ์ร่วมกันผ่านทางเครื่องมือต่างๆ ซึ่งมีที่น่าสนใจด้วยกัน 4 เรื่อง ดังนี้คือ

– Webboard   แบ่งปันความคิดเห็นและข้อมูลร่วมกับคนที่สนใจ

– Wiki   ชุมชนความรู้

– Social Networking   นิยามใหม่ของสังคมในปัจจุบัน

– Second Life

4.File sharing tools – เครื่องมือที่ช่วยในการแบ่งปันข้อมูล

กลุ่มสุดท้ายนี้เป็นกลุ่มของเครื่องมือและเว็บไซต์ที่ช่วยในการแบ่งปันไฟล์ต่างๆ ของผู้ใช้ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนของข้อมูลข่าวสาร ขยายช่องทางในการส่งข้อมูล การแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันทำให้เกิดความประหยัดค่าใช้จ่าย เวลาและทรัพยากร ซึ่งในกลุ่มนี้มีด้วยกัน 5 หัวเรื่อง ดังนี้

– Photo sharing   แนะนำเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่ให้บริการแบ่งปันไฟล์รูปภาพ ภาพถ่ายต่างๆ

– Video sharing   แนะนำเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่ให้บริการแบ่งปันไฟล์วิดีโอ รวมถึงสตรีมมิ่งวิดีโอ

– Music sharing   แนะนำเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่ให้บริการแบ่งปันไฟล์เพลง ไฟล์เสียง รวมถึงเครื่องเล่นเพลงออนไลน์

– Document sharing   แนะนำเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่ให้บริการแบ่งปันไฟล์เอกสารออนไลน์ รวมถึงสร้างและดัดแปลงเอกสาร

– File Sharing   แนะนำเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่ให้บริการพื้นที่สำหรับฝากไฟล์เก็บเอาไว้ส่งต่อและเผยแพร่

5.Do we need to sponsor a social network? เราจำเป็นต้องให้การสนับสนุนเครือข่ายทางสังคมหรือไม่?

จำเป็น เพราะ  เครือข่ายสังคมออนไลน์ ปัจจุบันเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญใน การดำเนินชีวิตของคนรุ่นใหม่ โดยเป็นแหล่งรวมกลุ่มกันของผู้คนในลักษณะเครือข่าย หรือชุมชนเสมือน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางสังคมในกลุ่มคนที่เป็นเพื่อน หรือกลุ่มคนที่มีความสนใจในสิ่งต่างๆร่วมกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เครือข่ายสังคมออนไลน์มักถูกใช้เป็นแหล่งพบปะติดต่อสื่อสารระหว่างเพื่อนๆ หรือคนรู้จัก หรือแม้แต่ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะในการแบ่งปันข้อมูลต่างๆให้กับผู้คนที่อยู่ ในชุมชน โดยผู้คนในชุมชนสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งเพื่อการศึกษาธุรกิจ และความบันเทิงร่วมกันได้

ประโยชน์ของ Social Network
บริษัทต่างๆเริ่มหันมาใช้ Blog ในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการมากขึ้น เนื่องจากจัดการใช้งาน และอัพเดทให้ทันสมัยได้ง่าย อีกทั้งยังเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดี เพราะ Blog ส่วนใหญ่จะสำรวจและแยกประเภทความสนใจของสมาชิกอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูก และสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทกับลูกค้าผ่านข้อความแสดงความคิดเห็นได้อีกด้วย เช่น
1.  ด้านสังคม   SNS เป็นการเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน ซึ่งเป็นความสวยงามที่สุดของอินเทอร์เน็ต SNS รายใหญ่อย่าง Hi5 มีสมาชิกอยู่เกือบ 100 ล้าน account ทั่วโลก บางคนมี “เพื่อน” เป็นหลักหมื่นหลักแสนอยู่ในไซเบอร์สเปซ   SNS ทำให้คนมีตัวตนอยู่ได้บนไซเบอร์สเปซ เพราะจะต้องแสดงความเป็นตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อทำให้ Profile น่าสนใจ และมีชีวิตชีวาที่สุด บ้างก็เน้นไปที่การใส่ข้อมูลเนื้อหา blog รูปถ่ายในชีวิตประจำวัน เรื่องราวเพื่อนคนใกล้ตัว บ้างก็เน้นไปที่ลูกเล่นใส่ glitter หรือตัววิ๊ง ๆ เข้าไป สุดท้ายทำให้เชื่อได้ประมาณหนึ่งว่า มีตัวตนอยู่จริงบนโลกมนุษย์    
2.  ด้านการตลาด  จากสถิติการใช้สื่อโฆษณาของอเมริกาที่จัดทำขึ้นโดย eMarketer ได้มีการใช้เงินโฆษณา ผ่าน Social network เพิ่มมากขึ้นกว่า 100% จากปี 2006 เทียบกับ ปี 2007 และมีแนวโน้มที่จะใช้มากขึ้นต่อไปในอนาคต เนื่องจาก ชาวอเมริกันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับอินเตอร์เน็ตมากกว่าทีวี หรือวิทยุ ส่วนในบางประเทศที่ถูกควบคุม และจำกัดในการโฆษณา เช่น ประเทศจีน และสิงคโปร์ ก็ยังมีการใช้ Social network เป็นอีกช่องทางในการโฆษณา ซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยัน ความฮอตฮิต และความแรงของการโฆษณาบน Social Network   การใช้เงินกับสื่อประเภทนี้ยังคงมีการเติบโตที่สูงมาก ซึ่งจากที่คาดการณ์ตัวเลขของปี 2006 จนถึงปี 2010 จะสูงขึ้นมากกว่า 500% ในประเทศสหรัฐอเมริกา และกว่า 600% ทั่วโลก นี่อาจจะเป็นผลมาจากเครือข่ายที่ขยายวงกว้างมากขึ้น และวิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีลูกเล่น ที่น่าสนใจมากขึ้นให้ผู้ใช้ได้คอยติดตามกัน

3.  ด้านการเมือง   ดังตัวอย่างการใช้สื่อสมัยใหม่ในแข่งขันการเลือกตั้งที่มีส่วนทำให้โอบามาชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 44   ซึ่ง Micah Sifry ผู้ร่วมก่อตั้งบล็อกการเมืองออนไลน์ของสหรัฐฯนาม techpresident.com พูดถึงเรื่องนี้ว่า ทั้งหมดเป็นผลมาจากโอบามามีความเข้าใจเรื่องพลังแห่งเครือข่าย ที่เขาสร้างมาเพื่อสนับสนุนแคมเปญของตัวเอง โดยมองว่า โอบามาเข้าใจเรื่องการดึงพลังขององค์กรอิสระที่จะสามารถสนับสนุนแคมเปญของเขาเองด้วย  นอกจากนี้ David Almacy ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายในทำเนียบขาวตั้งแต่เดือนมีนาคม 2005 ถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2007 มองว่า โอบามาเข้าใจแนวคิดการสื่อสารระหว่างชุมชนออนไลน์ตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้โอบามาเน้นการส่งข้อความ Twitter แทนที่จะตรวจหน้า Facebook อย่างเดียวทุกวัน และความเข้าใจพลังเรื่องการสื่อสารระหว่างคนหลายชุมชนนี้เองที่ทำให้โอบามาทำแคมเปญได้ดีกว่าแม้คู่แข่งจะใช้กลยุทธ์หาเสียงออนไลน์เช่นเดียวกัน

เครือข่ายสังคมออนไลน์กับห้องเรียน

 ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ใช้เพื่อการศึกษา ด้วยข้อมูลจำนวนมากที่ถูกนำเสนอในเครือข่ายสังคมออนไลน์หากนำมาสู่การจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนย่อมก่อให้เกิดผลสำคัญในหลากหลายลักษณะเช่นกัน เช่น
1. การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสังคมในชั้นห้องเรียน เนื่องจากบรรยากาศของเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารผ่านภายมิติความสัมพันธ์ของคนในเครือข่าย ด้วยเหตุนี้เมื่อทั้งผู้สอนและผู้เรียนเข้าสู่การสร้างความสัมพันธ์ภายในระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็จะนำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ในสังคมจริงในทิศทางที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพจริง นอกจากนี้ลักษณะการนำเสนอข้อมูล สถานภาพที่เป็นปัจจุบัน ทำให้ทั้งผู้สอนสามารถติดตามพฤติกรรมและประสานข้อมูลได้อย่างทันท่วงที
2.   การกระตุ้นให้เกิดการศึกษาค้นคว้า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่กว้างขวาง การตั้งประเด็นแลกเปลี่ยน ข้อสงสัยต่างๆ ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ทำได้อย่างทันท่วงที และเป็นเครื่องมือสำหรับผู้สอนในการกระตุ้นผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันผู้สอนสามารถนำเสนอเนื้อหาใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่องและผู้เรียนสามารถติดตามได้อย่างต่อเนื่อง
3.   การส่งเสริมการศึกษาตามความสนใจและความถนัด เครือข่ายสังคมออนไลน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของเว็บบล็อกเป็นระบบที่ส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานตามความถนัดและความสนใจของทั้งผู้สอนและผู้เรียน อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.   การส่งเสริมการบันทึกและการอ่าน การเผยแพร่ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่ผ่านรูปแบบของข้อเขียนในหลายลักษณะ เช่น ข้อความสั้นในระบบ twitter ข้อความปานกลางของเว็บ facebook หรือข้อความยาวๆ ของระบบเว็บบล็อก เป็นต้น

6.How should we deal with Web 2.0 risks? วิธีที่เราควรจัดการกับความเสี่ยง Web 2.0?

ในขณะที่สำคัญของเว็บ 2.0 ภัยคุกคามออกไปหลักจากรูปแบบการใช้ใหม่เทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างกว้างขวางในงาน Web 2.0 ที่คุกคามความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาถือว่ามีลักษณะ Web 2.0 ภัยคุกคามความปลอดภัย ตัวอย่างของเทคโนโลยีดังกล่าวรวม AJAX, เครื่องมือและแพลตฟอร์มใช้เช่นบล็อก Wikis และสังคมเครือข่าย
Web 2.0 ภัยคุกคาม : Web 2.0 เป็นทั้งชุดของเทคโนโลยีเป็นชุดของพฤติกรรมของผู้บริโภค การรวมกันของทั้งสององค์ประกอบที่ได้สร้างโอกาสมากมายสำหรับโจมตีเพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรออนไลน์เพื่อความสนุกสนานและกำไร  เป็นสิ่งสำคัญที่จะเข้าใจความหมายของความเสี่ยงใหม่เหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจ้าง Web 2.0 เทคโนโลยีเพื่อการใช้งานระดับมืออาชีพและการพาณิชย์ Yamanner, Samy และ Spaceflash หนอนชนิดนี้ exploiting”ฝั่งไคลเอ็นต์”กรอบ AJAX สร้างลู่ทางใหม่ของการโจมตีและประนีประนอมข้อมูลบางอย่างเป็นความลับ ที่”ฝั่งเซิร์ฟเวอร์”บริการ XML Web ตามที่เปลี่ยนบางฟังก์ชันที่สำคัญและให้จำหน่ายใบสมัครเข้าใช้บริการผ่านเว็บอินเตอร์เฟส เหล่านี้ความสามารถในระยะไกลกว่าการเรียก GET, POST หรือ SOAP จากเว็บเบราเซอร์ตัวใหม่เปิดให้ใช้งาน ด้านอื่น ๆ กรอบ RIA ทำงานใน XML, XUL, Flash, แอพเพล็ตและ JavaScripts เพิ่มชุดใหม่เป็นไปได้ของพาหะ RIA, AJAX และบริการเว็บเพิ่มมิติใหม่ความปลอดภัยโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ       
Top Web 2.0 ภัยคุกคามความปลอดภัย วิธีการสอบเป็นเป้าหมายของทีมวิจัยของเรารักษาความปลอดภัยต่อภัยคุกคามเหล่านี้เปิดเผยตลอดจนส่งเสริมความปลอดภัยของการใช้ Web 2.0 เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจเพื่อให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสใหญ่ afforded โดยรุ่นต่อไปนี้ของเว็บเพื่อ การทำธุรกิจมากขึ้น   Web 2.0 Our Security Testing Framework ประกอบด้วยช่องโหว่บางเว็บทั่วไปเช่น XSS, CSRF Injections และเป็นภัยคุกคามใหม่ ๆ บางที่ยากเพื่อบรรเทาและอาจตกอยู่ในขอบเขตของปัญหาตรรกะเช่นการตรวจสอบไม่เพียงพอและ anti – อัตโนมัติ ด้านบนว่าลักษณะนามธรรมของ Web 2.0 ทำให้คล้ายฟิชชิ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับการใช้งานเว็บให้เป็น Web 2.0

7.Should we have an in-house social network? เราควรจะมีบ้านในเครือข่ายสังคมหรือไม่?

 ควร เพราะได้มีเครือข่ายสังคมจะทำให้เราได้รับข้อมูล ข่าวสารต่างได้รวดเร็วทันต่อเหตุกาณ์การต่างๆ เช่น ในเฟสบุ๊คส์มีเพื่อนแชร์ว่าที่ไหนมีรถติด มีอุบัติเหตุ เราก็จะไม่ไปในเส้นทางนั้น หรืออาจเป็นการขอความช่วยเหลือต่างๆ ก็สามารถรู้ได้รวดเร็วขึ้นข้อดีของ Social Network

  • สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้
  • เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว
  • เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น
  • ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า
  • ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น
  • คลายเคลียดได้สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการหาเพื่อนคุยเล่นสนุกๆ
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อนได้
อ้างอิงจาก

Leave a comment